มีลุ้นกนง.หั่นดอกเดือนหน้า คาดครึ่งแรกปีนี้ ดบ.มีโอกาสแตะที่ระดับ 2%
นักเศรษฐศาสตร์ SCB EIC มั่นใจ กนง.มีโอกาสหั่นดอกเบี้ยเหลือ 2% ช่วงครึ่งแรกของปีนี้ คาด กนง.จะลดดอกเบี้ย 2 ครั้งในเดือน เม.ย.และ มิ.ย.นี้ ตาม Neutral rate ที่ต่ำลง พร้อมปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยปีนี้เติบโตที่ 2.7% จากแรงส่งเศรษฐกิจแผ่ว รวมถึงภาคการผลิตฟื้นช้าจากปัญหาเชิงโครงสร้างภาคการผลิตไทย
นักเศรษฐศาสตร์ SCB EIC ธนาคารไทยพาณิชย์ จำกัด (มหาชน) หรือ SCB ระบุว่า คณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) มีโอกาสปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายเหลือ 2% ในครึ่งแรกของปีนี้ จากปัจจุบันที่อยู่ที่ระดับ 2.50% เพื่อรักษาบทบาทนโยบายการเงินที่เป็นกลางต่อเศรษฐกิจไว้เช่นเดิม หากคำนึงถึงปัจจัยเชิงโครงสร้างที่มีนัยต่อระดับอัตราดอกเบี้ยที่เหมาะสมในปัจจุบัน พบว่า Neutral rate ของไทยปรับต่ำลงมาอยู่ที่ 2.1% (เดิม 2.5%)
โดยการปรับลดดอกเบี้ยครั้งนี้ นอกจากจะเป็นการรักษา Stance เดิมของนโยบายการเงินที่ต้องการให้อัตราดอกเบี้ยนโยบายอยู่ในระดับที่เป็นกลางต่อเศรษฐกิจ และช่วยสนับสนุนการขยายตัวของเศรษฐกิจในระยะยาวที่ต่ำลงได้อย่างยั่งยืนแล้ว จะยังมีผลช่วยบรรเทาภาระหนี้สูงเพิ่มเติม โดยเฉพาะกลุ่มธุรกิจและครัวเรือนเปราะบางที่อาจได้รับผลกระทบจากดอกเบี้ยขาขึ้นมากกว่ากลุ่มอื่น รวมถึงช่วยเพิ่มปัจจัยบวกต่อความเชื่อมั่นทางเศรษฐกิจของไทยท่ามกลางแรงส่งภาครัฐที่ยังติดขัดในปีนี้ได้อีกทาง
พร้อมนี้ SCB EIC ได้ปรับลดประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 เหลือ 2.7% จากเดิม 3% แม้ภาพรวมเศรษฐกิจไทยในปีนี้จะยังมีแนวโน้มฟื้นตัวต่อเนื่องได้ในปีนี้ จากแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจด้านอุปสงค์ที่กลับมาขยายตัวเร่งขึ้นในหลายองค์ประกอบ โดยเฉพาะการส่งออกและการลงทุนเอกชนที่มีแนวโน้มดีขึ้น แต่แรงส่งจากภาครัฐที่คาดว่าจะหดตัวต่อเนื่องในไตรมาสแรกของปีนี้จากความล่าช้าของการจัดทำ พ.ร.บ. งบประมาณ ปี 2567
ประกอบกับปัญหาสินค้าคงคลังสะสมสูงจากปีก่อนที่จะยังไม่คลี่คลายได้เร็ว ส่วนหนึ่งจากปัญหาเชิงโครงสร้างภาคการผลิตไทยโดยเฉพาะภาคการส่งออกไทยที่สูญเสียความสามารถในการแข่งขัน ไม่สามารถปรับตัวตอบสนองการเปลี่ยนแปลงรูปแบบความต้องการสินค้าในโลกและห่วงโซ่อุปทานโลกในระยะยาวที่เปลี่ยนไปได้ดีนัก นับเป็นปัจจัยสำคัญข้อหนึ่งที่ทำให้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมมีแนวโน้มฟื้นตัวช้าต่อเนื่องมาในปีนี้ ไม่สอดคล้องกับเศรษฐกิจไทยด้านอุปสงค์ สะท้อนปัญหาเชิงโครงสร้างในภาคการผลิตไทยที่รุนแรง
“เศรษฐกิจไทยด้านอุปทานปีนี้ แม้ภาคการผลิตอุตสาหกรรมจะกลับมาขยายตัวได้จากแรงส่งของอุปสงค์สินค้าอุปโภคบริโภคที่ฟื้นตัว แต่ยังมีแนวโน้มฟื้นช้า เนื่องจากหลายอุตสาหกรรมมีปัจจัยความเสี่ยงด้านอุปสงค์และอุปทานกดดันรอบด้าน ส่วนหนึ่งมาจากความเสียเปรียบด้านต้นทุน สะท้อนจากการส่งออกไทยในช่วงทศวรรษที่ผ่านมาที่เติบโตเพียงเล็กน้อย ความล่าช้าของ พ.ร.บ.งบฯ ปี 2567 สินค้าคงคลังสะสมสูง และความเสี่ยงจากปัญหาภูมิรัฐศาสตร์ โดยเฉพาะบริเวณทะเลแดงที่อาจรุนแรงขึ้นกระทบการส่งออกไทย” นักเศรษฐศาสตร์ SCB EIC ระบุ
ขณะที่ปัญหาเชิงโครงสร้างภาคการผลิต ยังมีผลกดดันให้ศักยภาพเศรษฐกิจไทยต่ำลงจากศักยภาพเศรษฐกิจไทยปรับลดลงอย่างต่อเนื่อง เป็นผลจากปัญหาเชิงโครงสร้างการผลิตที่รุนแรงขึ้น SCB EIC ประมาณการศักยภาพเศรษฐกิจไทยในช่วงก่อนเกิดโควิด-19 อยู่ที่ 3.4% ขณะที่ศักยภาพเศรษฐกิจไทยระยะยาว (ปี 2567-2588) เติบโตต่ำเหลือ 2.7% ปรับลดลงจากมุมมองเดิมที่ประเมินไว้ในเดือน ธ.ค. 2566 ที่ 3% สาเหตุหลักมาจากผลิตภาพการผลิตของไทยลดลงมากขึ้น เกี่ยวโยงกับปัญหาเชิงโครงสร้างของภาคการผลิตไทยที่รุนแรงขึ้น เป็นผลจากการที่เศรษฐกิจไทยเชื่อมโยงกับเศรษฐกิจจีนและห่วงโซ่การผลิตจีนมากท่ามกลางกระแสภูมิรัฐศาสตร์โลก รวมถึงความสามารถของไทยในการปรับตัวเข้าสู่ห่วงโซ่การผลิตของโลกในระยะยาวและรูปแบบความต้องการสินค้าในตลาดโลกที่กำลังเปลี่ยนไปได้ช้า
Reference: ข่าวหุ้น