เมื่อ Freelance อยากมีบ้าน ต้องทำอย่างไร
การอนุมัติสินเชื่อของธนาคารนั้น จะพิจารณาจากความมั่นคงทางรายได้และความสามารถในการผ่อนชำระ ซึ่งความมั่นคงทางการเงินจะ พิจารณาจากการมีรายได้สม่ำเสมอ และมีหลักฐานรายได้ชัดเจน
ข้าราชการ คือกลุ่มที่ถือว่ามีความมั่นคงมากที่สุด รองลงมาคือพนักงานประจำของบริษัทที่น่าเชื่อถือ รวมทั้งเจ้าของกิจการที่จดทะเบียนการค้าเรียบร้อยแล้ว ซึ่งหลักการเหล่านี้เอง ที่ทำให้คนประกอบ อาชีพอิสระ หรือ ฟรีแลนซ์ หลายๆ คนไม่สามารถขอสินเชื่อบ้านได้ เนื่องจากลักษณะการทำงานของฟรีแลนซ์หลายๆ อาชีพ จะเป็นการทำงานแบบพูดคุยตกลงกับนายจ้างเป็นงานๆ ไป เมื่อเสร็จงานก็จะได้รับค่าจ้างตามที่ตกลงกันไว้ ในหนึ่งเดือนอาจจะมีหลายงานหรือมีเพียงงานเดียวก็ได้ รายได้ของฟรีแลนซ์จึงไม่มีเอกสารยืนยันรายได้ที่ชัดเจน ซึ่งนี่คือสาเหตุที่ทางสถาบันการเงินจะจัดให้คนที่ประกอบอาชีพฟรีแลนซ์อยู่ในกลุ่มที่ไม่ความมั่นคง ซึ่งอาจส่งผลไปถึงการไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระไปด้วย แม้รายได้ของฟรีแลนซ์หลายๆ อาชีพจะสูงกว่าคนทำงานประจำก็ตาม
ฟรีแลนซ์มักได้รับการปฏิเสธสินเชื่อเสมอ ตั้งแต่ของชิ้นเล็กอย่างบัตรเครดิต ที่หลายคนเพียรขอหลายครั้งก็ถูกปฏิเสธ จนอดคิดไม่ได้ว่าแล้วของชิ้นใหญ่ๆ อย่างการขอสินเชื่อบ้านจะมีโอกาสบ้างไหม คำตอบคือ การขอสินเชื่อบ้านสำหรับฟรีแลนซ์นั้น ไม่ใช่เรื่องง่ายจริงๆ แต่เราก็มีวิธีแนะนำ เพื่อให้ธนาคารพิจารณาสินเชื่อง่ายขึ้น ด้วยวิธีการต่อไปนี้
1. จดทะเบียนพาณิชย์หรือทะเบียนพาณิชย์อิเลคทรอนิคส์
การจดทะเบียนลักษณะนี้ จะเหมือนกับการจดทะเบียนเป็นจ้าของกิจการ เมื่อจดทะเบียนแล้ว อาชีพที่ทำอยู่จะเป็นที่รับรู้และถูกรับรองตามกฎหมายขึ้นมาทันที รายรับรายจ่ายที่เกิดขึ้นในแต่ละเดือนจะมีหลักฐานที่น่าเชื่อถือ ซึ่งเป็นปัจจัยที่ทางธนาคารจะยอมพิจารณาสินเชื่อที่ยื่นขอไปได้ง่ายขึ้น การจดทะเบียนพาณิชย์ดังกล่าว ทำให้ต้องเสียภาษีเพิ่ม จึงเป็นสิ่งที่ฟรีแลนซ์หลายคนไม่อยากทำ แต่ถ้าแลกกับการขอสินเชื่อบ้านง่ายขึ้น ก็ถือเป็นสิ่งที่คุ้มค่า
2. มีเงินในบัญชีมากกว่าที่ขอกู้
ในกรณีที่มีทุนมากอยู่แล้ว แต่ต้องการกู้มาเสริมอีกเล็กน้อย เงินในบัญชีที่มีมากกว่ายอดขอสินเชื่อ จะทำให้ทางธนาคารใจอ่อนยอมพิจารณาสินเชื่อให้กับฟรีแลนซ์ง่ายขึ้น เพราะถ้ามีเงินมากกว่าที่กู้ ก็หมายความว่าสามารถคืนเงินกู้ที่ขอไปได้ เพราะมีหลักประกันอยู่แล้ว
แต่หลายคนไม่สามารถทำข้อนี้ได้ เพราะมีเงินเย็นอยู่ไม่มากนัก ดังนั้นให้พิจารณาที่ทางเลือกต่อไป
3. เงินฝากค้ำประกัน หรือการฝากประจำ
สถาบันการเงินบางแห่งเช่น ธนาคารไทยพานิชย์ (SCB) จะพิจารณาสินเชื่อให้กับลูกค้าที่มีการฝากประจำเป็นยอดเงินจำนวนหนึ่งอย่างสม่ำเสมอและไม่มีการผิดสัญญา เพราะนั่นจะแสดงให้เห็นว่าเป็นผู้มีรายได้แน่นอนและมากพอจะจ่ายทั้งเงินฝากและการชำระหนี้ได้
ซึ่งลูกค้าประเภทนี้ต้องเปิดบัญชีด้วยยอดเงินจำนวนหนึ่ง ซึ่งสูงพอสมควร และฝากประจำกับธนาคารทุกเดือน เมื่อครบกำหนดสัญญา นอกจากจะได้สินเชื่อแล้ว ยังได้ดอกเบี้ยเงินฝากประจำ และเงินออมก้อนใหญ่ในบัญชีอีกด้วย
4. ยื่นขอเสียภาษี
จุดนี้คือสิ่งที่ฟรีแลนซ์หลายๆ คนไม่ได้คิดถึง หากไม่ได้จดทะเบียนพาณิชย์ ไม่ได้เป็นเจ้าของกิจการ การเสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา (ภ.ง.ด. 90) ถือเป็นหลักฐานอย่างดีที่จะยืนยันได้ว่าเป็นผู้มีรายได้จริงๆ ในการขอสินเชื่อให้แนบเอกสารนี้ไปด้วย ก็จะได้รับการพิจารณาง่ายขึ้น
5. มีเงินเดินบัญชีครบ 1 ปี
การเดินบัญชีคือการมียอดเงินเข้าออกในบัญชีแต่ละเดือนอย่างสม่ำเสมอ รับค่าจ้างโดยผ่านสถาบันการเงินให้มากที่สุด เพื่อเลี้ยงบัญชีให้ครบ 1 ปี แล้วหลายๆ ธนาคารจะพิจารณาสินเชื่อให้ง่ายขึ้น ฟรีแลนซ์ที่เลือกวิธีนี้ต้องใจเย็นและมีวินัยเพราะต้องรักษาการใช้จ่ายให้สม่ำเสมอ ในจำนวนเงินที่เอื้อต่อการอนุมัติสินเชื่อ คือทางธนาคารพิจารณาแล้วว่าจำนวนเงินที่ผ่านบัญชีเป็นจำนวนที่สามารถชำระหนี้ที่ขอสินเชื่อไปได้
6. การกู้ร่วม
เป็นวิธีที่ง่ายที่สุด และเป็นวิธีสุดท้ายสำหรับคนที่ลองพึ่งตัวเองมาแล้วตามวิธีข้างต้นทั้งหมด แต่ทางธนาคารก็ยังปฏิเสธอยู่ดี การหาผู้กู้ร่วมที่มีรายได้แน่นอนจะทำให้ทางธนาคารอนุมัติสินเชื่อในเงื่อนไขของการกู้ร่วม ยอดสินเชื่อที่จะอนุมัติจะถูกประเมินจากรายได้ของสองคนรวมกัน ซึ่งอาจจะได้มากกว่ากู้คนเดียว รายละเอียดของการกู้ร่วมดูได้จาก การกู้ร่วม แต่ฟรีแลนซ์ที่จะขอกู้ร่วมก็ต้องมีเอกสารแสดงรายได้เช่นกัน
การเป็นฟรีแลนซ์ มีอิสระในการทำงานสูง แต่ในขณะเดียวกันก็อาจจะขาดโอกาสในด้านอื่นๆ ไปบ้าง แต่ถ้ามีการบริหารจัดการให้ดี การเป็นฟรีแลนซ์ที่เครดิตดี จนขอสินเชื่อบ้านราคาแพงได้ ก็ไม่ใช่เรื่องยากเลย